Feeds:
Posts
Comments

Archive for May, 2011

(ตอนจบของภาคแรก อาจเป็นเพราะว่าเธอบังเอิญไม่เจอฉัน)

“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผล แต่ที่เหนือกว่าเหตุผลคือความบังเอิญ”

ในเวลาหัวค่ำ ณ งานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนๆสมัยมัธยม บรรยากาศกำลังเริ่มจะคึกคัก ผู้คนเริ่มทะยอยมากันเรื่อยๆ หลายคนในที่นี้ผมจำหน้าแทบไม่ได้ บางคน..เมื่อดูจากหน้าตาของเขาและเธอแล้ว..แฝงไว้ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านกันมาอย่างอย่างโชกโชน แต่ละคนจูงลูกมาคนสองคนซึ่งเด็กบางคนก็โตจนแทบจะฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ในเร็วๆนี้ ในขณะที่ผมกำลังใช้สายตามองผ่านแว่นเลนส์เว้าไปที่โต๊ะลงทะเบียนผู้ร่วมงาน ก็บังเอิญเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเจอบน facebook เธอคือเพื่อนต่างห้องที่อาจจะเคยเดินผ่านกันประมาณ 7,350 กว่าครั้งโดยที่ไม่เคยทักทายกันเลย ซึ่งอาจจะคำนวณได้จาก (365วัน-120วันหยุดต่อปี)*6ปี*5เวลาต่อวัน โดยคิดจากเวลาที่เราอาจจะเดินสวนกันเต็มที่ในตอนเช้า สาย กลางวัน บ่าย และตอนเย็นในโรงเรียนและในห้างดังข้างโรงเรียน

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมเข้าไปทักทายเธอก่อน

“สวัสดีค่ะ ชื่อ อบ นะคะ…อบ สุวนันท์ คุ่ะ” เธอตอบยิ้มๆ แนะนำตัวแบบดาราที่ต้องมีชื่อเล่นก่อนแล้วค่อยตามด้วยชื่อจริง

“ผม ต้น ครับ…ต้น ไตรภูมิ” ผมเลียนแบบการแนะนำแบบดาราอย่างเธอบ้าง

“แหม…ชื่อดีจังนะคะ ไตรภูมิ แปลว่าสามโลก แสดงว่าเป็นที่รักของสามโลกหรือเปล่าคะ” เธอตอบแบบแซวเล็กน้อย

“ก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกันนะครับอบ เป็นที่รักของโลกมนุษย์ สวรรค์ และอบายภูมิ” ผมสวนกลับแบบกวนๆ

“สุวนันท์ก็ชื่อดีนะครับ ดูเหมือนว่าจะเป็นชื่อนางเอกละครหลังข่าว ส่วนชื่อเล่น อบ นี้มาจากไหนครับ ตอนเกิดคุณแม่ชอบอบสมุนไพรหรือว่าชอบกินอบเชยเหรอครับ” ผมถามมั่วนิ่มไปตามประสา

“น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่านะคะต้น อิๆ” เธอยิ้มและหัวเราะค่อยๆแบบขวยเขิน

ดูเธอจะมีความสุขกับชีวิตและงานของเธอ เธอบอกว่าเธอเป็นสาวออฟฟิศ จริงๆผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจที่เธอพูดเท่าไหร่ เพราะว่าเดี๋่ยวนี้ใครๆต่างก็ทำงานในออฟฟิศกันทั้งนั้น ตัวผมเอง ลุงหมอดูหน้าปากซอย หรือแม้กระทั่งเพื่อนผมที่ทำงานอยู่ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางอ่าวไทยก็ล้วนแต่มีออฟฟิศ แต่สิ่งที่ทำให้ผมหวนระลึกถึงความหลังไม่ใช่สิ่งที่เธอพูด…แต่เป็นเค้าโครงหน้าของเธอ มันอาจจะคล้ายกับคนบางคนที่ผมเคยคุ้นเคย

มันเป็นความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือนทั้งที่เวลาผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนั้นผมยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ มันเป็นความบังเอิญอีกนั่นแหละ ที่ผมบังเอิญมีเพื่อนเป็นสาวเกาหลีคนนั้น…คนที่ไม่เคยลืม

เธอมีชื่อว่าซูจี เราพักอยู่ในหอพักเดียวกัน เพื่อนผมสนิทกับเธอดี พวกเราจึงไปไหนมาไหนด้วยกัน

เธอเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ยิ้มง่าย ร่าเริง และเรียนเก่ง หน้าตาค่อนข้างสวย ผิวขาววิ๊งแบบเกาหลี ดูดีไปเสียทุกอย่าง ซูจีเข้ามาเรียนสาขาจิตวิทยา ซึ่งต่อมาเป็นแรงบันดาลใจให้ผมขวนขวายไปลงเรียนวิชาจิตวิทยาอีกสี่ห้าตัวเพื่อให้ได้พบเธอ เรียนกันตั้งแต่จิตวิทยาเบื้องต้น พฤติกรรมสัตว์ ทฤษฎีการทำงานของสมองและความจำ จนถึงการรักษาโรคจิตแบบต่างๆ ไม่รู้ว่าเรียนกันเข้าไปได้อย่างไรเพราะว่าผมไม่ได้ตั้งใจมาเรียนเพื่อเป็นหมอโรคจิต…ผมแค่ไปลงเรียนเพราะควบคุมจิตใจตัวเองไม่อยู่…แค่นั้นเอง

เธอเป็นคนแรกที่สอนภาษาเกาหลีให้กับผม “หนานึ๋นเบกูผะ แปลว่าฉันหิวข้าว” น่าจะเป็นประโยคแรกที่ผมขอให้เธอสอน เธอชอบเป่า flute ทำให้ผมต้องขวนขวายไปหา flute มาเป่าบ้าง เธอชอบทำโน่นทำนี่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่เธอถูกใจ ผมมักจะถูกใจตามไปหมด ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่หรือไม่ ผมชอบในสิ่งที่เธอชอบจริงๆ หรือว่าผมพยายามทำในสิ่งที่เธอชอบทำเพื่อเอาใจเธอ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะสุดท้ายข้อสรุปก็คือ…ผมชอบเธอ

แต่ก็เป็นเพราะความบังเอิญอีกนั่นแหละ ที่คนที่หมายปองเธอไม่ใช่มีแต่ผมแค่คนเดียว แต่บังเอิญเป็นเพื่อนสนิทที่แนะนำเธอให้ผมรู้จัก คนที่ผมทำร้ายจิตใจเขาไม่ได้ เขาก็กำลังจีบเธออยู่แบบทุ่มเทสุดหัวใจ จนทำให้ผมเลยต้องเลิกคิดแล้วหยุดทุกอย่างที่ใจอยากไว้เพียงแค่นั้น เวลาไปท่องเที่ยวเฮฮาด้วยกันก็พยายามเสแสร้งข่มความรู้สึกเอาไว้ จะบอกความรู้สึกที่มีต่อเธอก็ไม่ได้ จะระบายกับเพื่อนเราก็ยิ่งไม่ได้อีก ตอนนั้นมันอึดอัดเหมือนเกือบจะทำให้ขาดใจตาย ต้องปล่อยความรู้สึกมันจางคลายลงไปตามกาลเวลา ต่อมาเพื่อนผมก็คบกับเธออยู่ระยะหนึ่ง ส่วนผมยังเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคนเสมอ จนพอพวกเราเรียนจบ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป ซูจิไปแต่งงานกับคนอื่นซึ่งไม่ใช่เพื่อนผมคนนั้น เจ้าเพื่อนผมก็ไปมีคนอื่น ส่วนผมก็มีชีวิตของผม และไม่เคยได้เจอะเจอพวกเขาอีกเลย

ส่วน flute ที่เคยซื้อมาหัดเล่นอยู่ตอนนั้นก็ยังคงวางอยู่ในกล่องและเก็บไว้เป็นอย่างดี ผมไม่ได้หยิบมันขึ้นมาเป่าอีก อาจจะลืมไปแล้วว่ามันเป่ายังไง หรือมันคงจะไม่ใช่เครื่องดนตรีอีกต่อไป แต่คงเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง สิ่งที่ผมอาจจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมันมากนัก หากมีคนถามว่าผมมีรักครั้งแรกเมื่อไหร่ ผมก็มักจะตอบไปว่าผมไม่รู้ เพราะถึงตอนนี้…ตัวผมเองก็ยังไม่รู้ว่านี่มันคือความรักหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าทุกคนมีทางชีวิตของตัวเอง ที่มันถูกออกแบบมาแล้วด้วยความบังเอิญ ความน่าจะเป็น หรืออะไรก็แล้วแต่….แต่สุดท้ายเราจะถูกชักพาไปหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด ในแง่ของ บุคคล เวลา สถานที่ และสถานการณ์ที่ตัวเราเองก็มิอาจจะควบคุมได้

“ต้นกำลังคิดอะไรอยู่หรือค่ะ” อบถามขึ้นมา ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ของหนังชีวิตที่มีสาวเกาหลีแสดงนำ

“กำลังคิดถึงเพื่อนสนิทน่ะครับ อบไปเที่ยวประเทศไหนมาบ้างครับ เห็นมีรูปไปเที่ยวเต็มไปหมด” ผมเฉไฉไปเรื่องอื่น

“ก็มีอเมริกา จีน รัสเซีย ฝรั่งเศษ และอังกฤษ ค่ะ”

“โห…เล่นแต่ประเทศสมาชิกถาวรของสหประชาชาติเลยนะครับ”

“ค่ะ อบชอบแนวนี้ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆและยิ้มแบบคิกขุตามแบบฉบับสาวเกาหลี

ผมเคยเห็นรูปไปเที่ยวของอบใน facebook แต่ละรูปของเธอนั้น…โอ้ว…แม่เจ้า! เธอโพสต์รูปได้ราวกับเป็นดาราละครตัวจริง ทั้งท่าทาง แสงสี ฉากหลัง และมุมกล้อง บอกได้เลยว่า รูปที่ออกมาสวยอย่างนี้ คงไม่ได้ออกมาดีเพราะนางแบบเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากคนถ่ายรูปที่เห็นความงามของเธออย่างแท้จริง และเธอก็มองเห็นจิตใจของเขาด้วย รูปจึงออกมามีจิตวิญญาณเนื่องจากมีความรู้สึกที่ดีของคนทั้งสองคนพุ่งเป็นรังสีผ่านเลนส์กล้องสองทิศทางทั้งไปและกลับ ถึงตอนนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วว่าใครถ่ายภาพให้เธอ ผมเองก็ชอบถ่ายภาพคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่เรารู้สึกดีด้วย รู้สึกว่าเราเข้าใจเธอได้ดี รู้สึกว่าเราอยากจะแก้ปัญหาชีวิตให้กับเธอ และอยากจะอยู่เพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงาให้เธอตลอดไป แต่หลังจากเกิดวิกฤตการณ์เกาหลีในครั้งนั้นผมก็แทบจะไม่ได้มองใครอีก เคยถ่ายภาพคนที่เราเคยถูกใจบ้าง แต่พอมาดูภาพอีกที ถึงแม้นางแบบจะยิ้มสวย มุมกล้องได้ แต่มันไม่มีรังสีสองทิศทางเหมือนภาพของอบ มันเป็นแค่รังสีทางเดียวที่พุ่งจากผมไปที่ตัวของนางแบบ แต่ไม่มีอะไรสะท้อนกลับมาเหมือนยิงอะไรสักอย่างเข้าไปในหลุมดำแล้วปรากฏว่ามันหายจ้อยไปเลย อะไรประมาณนั้น เรื่องอย่างนี้ผมไม่โทษใคร ทั้งกล้อง ตัวผม และเธอคนนั้น หากจะโทษผมก็คงโทษความบังเอิญ ที่จัดให้เรามาเจอกับ “คนที่ใช่”ของเรา แต่บังเอิญเราไม่ใช่ “คนที่ใช่” ของเธอ จริงอยู่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผล แต่ที่เหนือกว่าเหตุผลคือความบังเอิญ ถึงเวลานี้ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะว่า…อาจเป็นเพราะว่าเราบังเอิญไม่รักกัน…ก็แค่นั้นเอง

“เหม่อลอยอีกแล้วนะคะ คิดอะไรอยู่เหรอคะ” อบถามขึ้นมาจนผมสะดุ้ง

“เออ…รูปที่ไปเที่ยวสวยดีนะครับ แล้วใครเป็นคนถ่ายรูปให้หรือครับ”

อบไม่ตอบคำถามของผม แต่เธอยิ้มด้วยมุมปากนิดๆแบบขวยเขิน

~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~

Advertisement

Read Full Post »

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

รู้แต่ว่าฉันและเธอเคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน

ตอน ม.1ก็ถูกบังคับให้ทานอาหารกลางวันเหมือนกัน

กับเมนูหลัก ข้าวราดกระเพรา และของว่างคือถั่วเขียวต้มน้ำตาลอันแสนโอชะ

คลอเคล้าไปกับเสียงเพลงในอัลบั้มชุดแรกของพี่เบิร์ด (ที่ปัจจุบันนี้กลายเป็นป้าเบิร์ด)

เราทานที่เดียวกัน ประชุมที่หอประชุมเดียวกัน

ฉันคงเคยเดินผ่านเธอ

และเธอก็คงเคยเดินผ่านฉัน

ฉันและเธอคงเคยมาสาย และโดนใช้ให้เก็บขยะเหมือนกัน

อาจจะเคยเอาไม้ไล่จิ้มขยะชิ้นเดียวกันเสียด้วยซ้ำ

…แต่เราก็ไม่รู้จักกัน

ต่อมา…

เธอแยกไปเรียนสายศิลป์

ส่วนตัวฉันก็ไปเรียนสายวิทย์

แต่เราก็ยังทานอาหารในโรงอาหารเดียวกัน

อาจจะเคยต่อแถวซื้อข้าวมันไก่ที่คนขายตัวใหญ่ๆเหมือนกัน

หรือซื้อน้ำลำไยแก้วละ 2 บาทพร้อมๆกัน

อาจเคยเดินสวนกันสักห้าหกหมื่นหน…

ทั้งในโรงเรียนและในห้างดังข้างๆโรงเรียนที่พวกเราโปรดปราน

ร่วมงานกีฬาสี งานโน้น งานนั้น และงานนี้

…แต่เราก็ยังไม่รู้จักกัน

หลายๆปีผ่านพ้นไป…

ฉันเจอเธออีกทีบน facebook

เธอบอกว่าคงไม่มีใครจำเธอได้

ซึ่งก็อาจจะจริง

เพราะว่าเห็นรูปครั้งแรกนึกว่าเธอเป็นสาวเกาหลี

หรือว่าเป็นเกาหลีที่แอบปลอมตัวมาเป็นเด็กหอวังจริงๆ ก็อาจจะเป็นได้

แต่ที่น่าแปลกคือ…เราเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันตั้งหลายปี

แต่ก็ไม่เคยรู้จักกันสักที

อาจเป็นเพราะว่าเธอบังเอิญไม่เจอฉัน

หรือ อาจเป็นเพราะว่าเราไม่มีวาสนาต่อกัน

แต่ก็ไม่เป็นไร

ตอนนี้ยังไม่สาย

ที่จะบอกว่า….

ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ


Read Full Post »