นึกย้อนหลังไปเมื่อหลายเดือนก่อน เมื่อพี่คนหนึ่งที่ทำงานบอกว่าต้องรีบกลับไปรับลูกที่โรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนจะปิดชั่วคราวเพราะว่ามีเด็กเป็นโรคมือเท้าปาก
“โรคอะไรครับพี่ มือเท้าปาก แล้วมัน มือเท้าปากอะไรล่ะครับ ผมไม่เข้าใจ?” ผมถามแกตรงๆ ซึ่งแกก็บอกว่ามันชื่อโรคมือเท้าปาก แค่นั้นจริงๆ ผมยังแอบแซวเล่นเลยว่า “มันโรคอะไรวะ แล้วมือเท้าปากแล้วมันยังไงต่อล่ะ ทำไมชื่อมันจบแค่นี้”
จนกระทั่งวันอังคารที่ผ่านมาตอนบ่ายๆ หลังทานข้าวกลางวันเสร็จก็รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ เมื่อยๆตามข้อ ผมเลยกินยาลดไข้ไป 2 เม็ด พอตอนกลางคืนยังมีไข้เหมือนเดิม ตอนเช้าวันพุธก็ยังรู้สึกเป็นไข้ ไม่สบาย เลยไม่ไปทำงาน ช่วงบ่ายของวันพุธเริ่มเจ็บคอเลยทานยาปฏิชีวนะเพราะคาดว่าคงเป็นหวัดเจ็บคอแน่ๆ ตอนบ่ายวันพุธไข้ลดลงแล้ว ผมมานอนพักผ่อนเล่นหน้าบ้าน ที่ฝ่ามือสองข้างเห็นมีผื่นๆสีแดงเล็กๆ มีตุ่มๆคล้ายเป็นผื่นจากภูมิแพ้ เลยไม่ได้ใส่ใจเพราะนึกว่ามันคงหายไปเอง แถมยัีงซนไปบีบมัีนเล่นอีก วันพุธกลางคืนเจ็บคอมากขึ้น กลืนน้ำยังเจ็บคอเลย เช้าวันพฤหัสบดีผมเลยลางานต่ออีก 1 วัน
ส่วนเรื่องอาการเจ็บคอ ลองส่องกระจกดูแถวๆลิ้นไก่ดูว่ามันแดงๆหรือเปล่า เห็นเป็นจุดขาวๆเล็กๆสักสองจุดใกล้ๆ ตอนแรกคิดว่ามันคงจะเป็นร้อนในหรือจะเป็นหนองหรืออย่างๆไร แต่หากมันเกิดเป็นต่อมทอนซิลอักเสบก็ยังกังวัลอยู่ …แล้วพอมองไปที่ฝ่ามือขวาและซ้ายก็พบว่ามันไม่ใช่ภูมิแพ้อย่างที่เราคิด มันเป็นผื่นสีแดงๆชมพูอ่อน ที่มีตุ่มเล็กๆแบบโดนของร้อนหรือมือพอง กระจายอยู่เต็มฝ่ามือ ไม่เจ็บและไม่คัน (ถ้าเป็นหิดจะคัน) ไม่รู้ว่านึกอย่างไรคิดถึงเจ้าโรคมือเท้าปากที่เคยนึกขำๆกับชื่อของมันอยู่ เลยไปเจอหาบน Internet พบว่ามันเป็นโรคที่เป็นกับเด็ก แต่อาการใช่เลย คือเป็นไข้ก่อน มีตุ่มตามมือและเท้า และในปาก รูปอาการของเด็กมันดูน่ากลัวมากๆ เพราะว่าเป็นแผลในปากด้วย และเด็กไม่ได้เป็นตุ่มแค่ฝ่ามือฝ่าเท้า แต่รอบๆมือด้วย แต่ผมไม่มีอาการอย่างนั้น นอกจากเจ็บคอและก็ตุ่มที่ฝ่ามือ และที่สำคัญมันเป็นโรคของเด็กอายุน้อยๆ เลยคิดว่าคงไม่ใช่ แต่ในใจก็ยังสงสัยอยู่
ตกกลางคืนวันพฤหัส ตุ่มแดงๆที่ฝ่ามือสีมันคล้ำขึ้นจนสังเกตได้ชัด แถมมีผื่นและตุ่มเริ่มขึ้นที่ฝ่าเท้า คราวนี้เลยเริ่มแน่ใจว่าตัวเราอาจเป็นโรคชื่อแปลกๆโรคนี้ กลับมาอ่านดูอีกทีพบว่ามันเป็นโรคเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่มียารักษา ต้องรอให้มันหายไปเองเมื่อภูมิต้านทานในร่างกายเราดีขึ้น
เช้าวันศุกร์เลยไปหาหมอโรคผิวหนังที่โรงพยาบาลแต่เช้า แบมือ และก็โชว์ฝ่าเท้าให้หมอดู บอกว่าเป็นไข้ก่อนด้วย แล้วถามว่าใช่หรือเปล่า หมอส่องดูในปากนิดหน่อย (ตอนนั้นยังเจ็บคออยู่) แล้วมองหน้า แกถามว่า “คุณทำอาชีพอะไร เพราะมันเป็นโรคมือเท้าปาก แต่ไม่ค่อยมีคนเป็นกัน โดยเฉพาะผู้ใหญ่” ผมเลยบอกว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเพิ่งไปเที่ยวมา หมอเลยเดาว่าผมคงไปทานอาหารที่มีเชื้อนี้ปะปน เพราะว่ามันแพร่เชื้อได้ทางน้ำลาย และอุจจาระเป็นต้น (เด็กอ่อนจะติดจากอุจจาระ) และที่สำคัญผู้ใหญ่ไม่ค่อยจะเป็นกัน ดังนั้นผมอาจจะได้รับสายพันธุ์ที่ไม่ธรรมดาก็ได้ เนื่องจากไวรัสที่มีอยู่ทั่วไปมันอาจกลายพันธุ์ไปเป็นอีกพันธุ์ที่ผู้ใหญ่ก็ติดได้ หมอเลยเขียนใบรับรองแพทย์ให้หยุดอีกหลายวันจนคิดว่ามันหมดระยะแพร่เชื้อ เพราะว่าถ้าผมเกิดได้รับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาจริงๆรับรองว่าเรื่องใหญ่แน่ๆ วันนี้เริ่มเดินแล้วรู้สึกจั๊กจี้หน่อยๆเนื่องจากเริ่มมีตุ่มขึ้นที่ฝ่าเท้า ส่วนที่ฝ่ามือซึ่งตุ่มมันเกิดก่อน เริ่มยุบลงแต่เริ่มมีสีคล้ำขึ้น ดูแล้วสยองมากขึ้น ลองนึกเอาเองว่าคนที่เค้าเห็นต้องสงสัยว่าเราเป็นโรคติดต่อร้ายแรงอะไรหรือเปล่าหนอ
มันเป็นความกังวลจนต้องคอยซุกซ่อนมือที่เป็นตุ่มๆสีเลือดช้ำๆไม่ให้ใครเห็นเมื่อผมไปซื้อขนมร้านเบเกอรี่ แม้จะเป็นร้านที่เคยซื้อประจำ แต่มาคราวนี้ผมมากับมือที่ไม่เหมือนเดิม ผมยื่นเงินให้คนขายแบบคว่ำมือ…แบบว่า แบงค์ที่คีบยื่นให้เกือบจะตั้งฉากกับพื้น เวลารับเงินทอนมาก็รับแบบตะแคงๆมือหน่อยๆ กลัวเค้าจะเห็นฝ่ามือเรา ถึงจุดนี้แล้ว เข้าใจเลยว่า คนที่เป็นโรคร้ายแรงพวกโรคเอดส์นี่เค้าจะอยู่ในสังคมด้วยความกลัวยังไง เพราะบางคนเป็นแผลทั้งตัว คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่เค้าจะอยู่แบบไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง
ผ่านไปสี่วัน ถึงวันเสาร์ ตุ่มที่มือยุบไปมาก แต่ที่เท้าเพิ่งเริ่มจะยุบ พอเดินจะเจ็บ วันนี้นับว่าทรมานเหมือนกัน ต้องเดินแบบเขย่งๆทั้งวัน เหมือนตุ่มแบบเท้าพองนั่นแหละ แต่ลองจินตนาการดูว่าหากมีหลายๆอันบนเท้าคุณจะเดินอย่างไร (ถ้าคุณไม่ตะแคงตีนเดิน?)
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ก็เริ่มจะเดินได้เป็นปกติแล้ว บนมือไม่มีตุ่มแล้ว รอให้รอยแดงๆมันจางหายไป ลองคิดบวกดูนะว่าถ้าเราไม่โชคดีเป็นไอ้โรคชื่อประหลาดนี้ เราจะรู้ไหมว่าเด็กที่เป็นมันรู้สึกอย่างไร เพราะเด็กที่เป็นโรคก็เป็นเด็กเล็ก ลองคิดดูว่าเวอร์ชั่นเด็กมันจะมีตุ่มปวดแสบปวดร้อนในปาก… เด็กมันคงตรอมใจตาย แค่เราไม่อยากพบหน้าผู้คน ไม่ได้ออกไปไหน เดินแบบเขย่งๆ แถมกว่าร่องรอยแผลเป็นที่มือจะจางหายก็คงอีกสักสองสามอาทิตย์ แค่นี้ก็เซ็งสุดๆแล้ว
สรุปก็คือ…ให้มันชื่อโรคมือเท้าปาก อย่างเดิมต่อไปเถอะ แบบไม่ต้องมีอะไรคำขยายอะไรต่อน่ะดีแล้ว ให้ผู้ที่เป็นโรคนี้จินตนาการเอาเอง ว่า มือเท้าปากมัน เจ็บ หรือน่ารำคาญ หรือน่าอับอาย หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่ว่าเจ้าของของมือ เท้า และปากนั้นๆจะรู้สึกอย่างไรกับชีวิต