Feeds:
Posts
Comments

เคยมีบ้างไหม…

ที่่เธอเศร้า

เหงา หรือหมดหวัง

หมดพลังในชีวิต

หมดเรี่ยวแรง

และเหน็ดเหนื่อย

จนแทบจะหมดลมหายใจ

แต่หากถามใจตัวเอง ให้ดีๆอีกสักครั้ง

รู้ไหมว่า…

มันเหนื่อยตรงไหน

เหนื่อยที่ร่างกาย

หรือว่า ที่จิตใจของเธอ

คนเรามักจะคิดว่า…

ทำไมชีวิตคนอื่นช่างดีกว่าชีวิตฉันเสียเหลือเกิน

ทำไมฉันไม่มีอย่างที่เธอมีบ้าง ไม่เป็นอย่างที่เธอเป็นบ้าง
ทำไมโลกใบนี้ชอบกลั่นแกล้งให้ฉันระทมทุกข์อยู่เพียงคนเดียว
เธออาจจะเป็นทุกข์ฺกับทุกสิ่งที่เธอมี ทุกอย่างที่เธอเป็น
และทุกอย่างที่เธอประสบพบเจอ ณ ห้วงเวลานี้
แต่ทว่า…เธอหลงลืมอะไรไปบางอย่างหรือเปล่า?

สิ่งที่เธอมี-ที่เธอเป็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เลอเลิศประเสริฐศรี

อาจไม่ดูดี ถูกใจคนทั้งโลก

แต่มันคือสิ่งที่เธอมี-เธอเป็น

คงไม่เหมือนใคร และคงไม่มีใครเหมือน

ชีวิตของเธออาจจะผ่านมรสุมอันหฤโหด

ยิ่งกว่านางเอกละครน้ำเน่า

ต้องนั่งกินข้าวเคล้าน้ำตา

แต่ความทุกข์นั้น มันก็ไม่เคยทำให้เธอตายมิใช่หรือ

เธออาจอยากจะหนีหายจากความทรงจำบางอย่าง

หรือบางสิ่งบางอย่างที่เธออยากจะลืมเลือน

แต่ในทุกๆเสี้ยวเวลาแห่งชีวิต

หากเธอเพียงแต่แกล้งลืมแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าเสียบ้าง

แล้วก้มหน้าลงมองยังพื้นดิน

สิ่งสวยงามคือดอกหญ้าดอกเล็กๆมักจะโผล่ออกมาให้เธอเห็นเสมอ

แม้ว่ามันจะถูกแรงพายุ หรือถูกเหยียบย่ำเพียงใด

ดอกหญ้าไม่เคยเหนื่อย

ไม่เคยท้อ

ไม่เคยร้องไห้จนตาบวม

ถึงแม้ว่าอาจจะเฉาไปบ้าง

แต่มันจะฟื้นกลับมารับพลังจากแสงอาทิตย์ในวันใหมได้่เสมอ

หากเธอเป็นเหมือนดอกหญ้าดอกเล็กๆบนผืนดิน

ทุกข์บ้าง สุขบ้าง

มีหัวเราะ และมีร้องไห้

ปลิวไหวไปตามแรงลม ตามกระแสโลก

เธออาจจะหวั่นไหว และสับสนในบางครั้ง

แต่เมื่อถึงเวลาของเธอ

วันที่สดใสกว่ายังคงมีมาเสมอ

ขอเพียงแค่ให้เธอภูมิใจในความเป็นเธอ

เป็นดอกหญ้าในทุ่งอันเขียวขจี
ที่ไม่หวั่นไหว
และหวาดกลัวกับสิ่งใดๆในชีวิต

ขอเธอเป็น เช่นดั่งดอกหญ้า

~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~

Advertisement

(ตอนจบของภาคแรก อาจเป็นเพราะว่าเธอบังเอิญไม่เจอฉัน)

“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผล แต่ที่เหนือกว่าเหตุผลคือความบังเอิญ”

ในเวลาหัวค่ำ ณ งานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนๆสมัยมัธยม บรรยากาศกำลังเริ่มจะคึกคัก ผู้คนเริ่มทะยอยมากันเรื่อยๆ หลายคนในที่นี้ผมจำหน้าแทบไม่ได้ บางคน..เมื่อดูจากหน้าตาของเขาและเธอแล้ว..แฝงไว้ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านกันมาอย่างอย่างโชกโชน แต่ละคนจูงลูกมาคนสองคนซึ่งเด็กบางคนก็โตจนแทบจะฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ในเร็วๆนี้ ในขณะที่ผมกำลังใช้สายตามองผ่านแว่นเลนส์เว้าไปที่โต๊ะลงทะเบียนผู้ร่วมงาน ก็บังเอิญเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเจอบน facebook เธอคือเพื่อนต่างห้องที่อาจจะเคยเดินผ่านกันประมาณ 7,350 กว่าครั้งโดยที่ไม่เคยทักทายกันเลย ซึ่งอาจจะคำนวณได้จาก (365วัน-120วันหยุดต่อปี)*6ปี*5เวลาต่อวัน โดยคิดจากเวลาที่เราอาจจะเดินสวนกันเต็มที่ในตอนเช้า สาย กลางวัน บ่าย และตอนเย็นในโรงเรียนและในห้างดังข้างโรงเรียน

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมเข้าไปทักทายเธอก่อน

“สวัสดีค่ะ ชื่อ อบ นะคะ…อบ สุวนันท์ คุ่ะ” เธอตอบยิ้มๆ แนะนำตัวแบบดาราที่ต้องมีชื่อเล่นก่อนแล้วค่อยตามด้วยชื่อจริง

“ผม ต้น ครับ…ต้น ไตรภูมิ” ผมเลียนแบบการแนะนำแบบดาราอย่างเธอบ้าง

“แหม…ชื่อดีจังนะคะ ไตรภูมิ แปลว่าสามโลก แสดงว่าเป็นที่รักของสามโลกหรือเปล่าคะ” เธอตอบแบบแซวเล็กน้อย

“ก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกันนะครับอบ เป็นที่รักของโลกมนุษย์ สวรรค์ และอบายภูมิ” ผมสวนกลับแบบกวนๆ

“สุวนันท์ก็ชื่อดีนะครับ ดูเหมือนว่าจะเป็นชื่อนางเอกละครหลังข่าว ส่วนชื่อเล่น อบ นี้มาจากไหนครับ ตอนเกิดคุณแม่ชอบอบสมุนไพรหรือว่าชอบกินอบเชยเหรอครับ” ผมถามมั่วนิ่มไปตามประสา

“น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่านะคะต้น อิๆ” เธอยิ้มและหัวเราะค่อยๆแบบขวยเขิน

ดูเธอจะมีความสุขกับชีวิตและงานของเธอ เธอบอกว่าเธอเป็นสาวออฟฟิศ จริงๆผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจที่เธอพูดเท่าไหร่ เพราะว่าเดี๋่ยวนี้ใครๆต่างก็ทำงานในออฟฟิศกันทั้งนั้น ตัวผมเอง ลุงหมอดูหน้าปากซอย หรือแม้กระทั่งเพื่อนผมที่ทำงานอยู่ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางอ่าวไทยก็ล้วนแต่มีออฟฟิศ แต่สิ่งที่ทำให้ผมหวนระลึกถึงความหลังไม่ใช่สิ่งที่เธอพูด…แต่เป็นเค้าโครงหน้าของเธอ มันอาจจะคล้ายกับคนบางคนที่ผมเคยคุ้นเคย

มันเป็นความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือนทั้งที่เวลาผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนั้นผมยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ มันเป็นความบังเอิญอีกนั่นแหละ ที่ผมบังเอิญมีเพื่อนเป็นสาวเกาหลีคนนั้น…คนที่ไม่เคยลืม

เธอมีชื่อว่าซูจี เราพักอยู่ในหอพักเดียวกัน เพื่อนผมสนิทกับเธอดี พวกเราจึงไปไหนมาไหนด้วยกัน

เธอเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ยิ้มง่าย ร่าเริง และเรียนเก่ง หน้าตาค่อนข้างสวย ผิวขาววิ๊งแบบเกาหลี ดูดีไปเสียทุกอย่าง ซูจีเข้ามาเรียนสาขาจิตวิทยา ซึ่งต่อมาเป็นแรงบันดาลใจให้ผมขวนขวายไปลงเรียนวิชาจิตวิทยาอีกสี่ห้าตัวเพื่อให้ได้พบเธอ เรียนกันตั้งแต่จิตวิทยาเบื้องต้น พฤติกรรมสัตว์ ทฤษฎีการทำงานของสมองและความจำ จนถึงการรักษาโรคจิตแบบต่างๆ ไม่รู้ว่าเรียนกันเข้าไปได้อย่างไรเพราะว่าผมไม่ได้ตั้งใจมาเรียนเพื่อเป็นหมอโรคจิต…ผมแค่ไปลงเรียนเพราะควบคุมจิตใจตัวเองไม่อยู่…แค่นั้นเอง

เธอเป็นคนแรกที่สอนภาษาเกาหลีให้กับผม “หนานึ๋นเบกูผะ แปลว่าฉันหิวข้าว” น่าจะเป็นประโยคแรกที่ผมขอให้เธอสอน เธอชอบเป่า flute ทำให้ผมต้องขวนขวายไปหา flute มาเป่าบ้าง เธอชอบทำโน่นทำนี่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่เธอถูกใจ ผมมักจะถูกใจตามไปหมด ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่หรือไม่ ผมชอบในสิ่งที่เธอชอบจริงๆ หรือว่าผมพยายามทำในสิ่งที่เธอชอบทำเพื่อเอาใจเธอ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะสุดท้ายข้อสรุปก็คือ…ผมชอบเธอ

แต่ก็เป็นเพราะความบังเอิญอีกนั่นแหละ ที่คนที่หมายปองเธอไม่ใช่มีแต่ผมแค่คนเดียว แต่บังเอิญเป็นเพื่อนสนิทที่แนะนำเธอให้ผมรู้จัก คนที่ผมทำร้ายจิตใจเขาไม่ได้ เขาก็กำลังจีบเธออยู่แบบทุ่มเทสุดหัวใจ จนทำให้ผมเลยต้องเลิกคิดแล้วหยุดทุกอย่างที่ใจอยากไว้เพียงแค่นั้น เวลาไปท่องเที่ยวเฮฮาด้วยกันก็พยายามเสแสร้งข่มความรู้สึกเอาไว้ จะบอกความรู้สึกที่มีต่อเธอก็ไม่ได้ จะระบายกับเพื่อนเราก็ยิ่งไม่ได้อีก ตอนนั้นมันอึดอัดเหมือนเกือบจะทำให้ขาดใจตาย ต้องปล่อยความรู้สึกมันจางคลายลงไปตามกาลเวลา ต่อมาเพื่อนผมก็คบกับเธออยู่ระยะหนึ่ง ส่วนผมยังเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคนเสมอ จนพอพวกเราเรียนจบ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป ซูจิไปแต่งงานกับคนอื่นซึ่งไม่ใช่เพื่อนผมคนนั้น เจ้าเพื่อนผมก็ไปมีคนอื่น ส่วนผมก็มีชีวิตของผม และไม่เคยได้เจอะเจอพวกเขาอีกเลย

ส่วน flute ที่เคยซื้อมาหัดเล่นอยู่ตอนนั้นก็ยังคงวางอยู่ในกล่องและเก็บไว้เป็นอย่างดี ผมไม่ได้หยิบมันขึ้นมาเป่าอีก อาจจะลืมไปแล้วว่ามันเป่ายังไง หรือมันคงจะไม่ใช่เครื่องดนตรีอีกต่อไป แต่คงเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง สิ่งที่ผมอาจจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมันมากนัก หากมีคนถามว่าผมมีรักครั้งแรกเมื่อไหร่ ผมก็มักจะตอบไปว่าผมไม่รู้ เพราะถึงตอนนี้…ตัวผมเองก็ยังไม่รู้ว่านี่มันคือความรักหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าทุกคนมีทางชีวิตของตัวเอง ที่มันถูกออกแบบมาแล้วด้วยความบังเอิญ ความน่าจะเป็น หรืออะไรก็แล้วแต่….แต่สุดท้ายเราจะถูกชักพาไปหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด ในแง่ของ บุคคล เวลา สถานที่ และสถานการณ์ที่ตัวเราเองก็มิอาจจะควบคุมได้

“ต้นกำลังคิดอะไรอยู่หรือค่ะ” อบถามขึ้นมา ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ของหนังชีวิตที่มีสาวเกาหลีแสดงนำ

“กำลังคิดถึงเพื่อนสนิทน่ะครับ อบไปเที่ยวประเทศไหนมาบ้างครับ เห็นมีรูปไปเที่ยวเต็มไปหมด” ผมเฉไฉไปเรื่องอื่น

“ก็มีอเมริกา จีน รัสเซีย ฝรั่งเศษ และอังกฤษ ค่ะ”

“โห…เล่นแต่ประเทศสมาชิกถาวรของสหประชาชาติเลยนะครับ”

“ค่ะ อบชอบแนวนี้ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆและยิ้มแบบคิกขุตามแบบฉบับสาวเกาหลี

ผมเคยเห็นรูปไปเที่ยวของอบใน facebook แต่ละรูปของเธอนั้น…โอ้ว…แม่เจ้า! เธอโพสต์รูปได้ราวกับเป็นดาราละครตัวจริง ทั้งท่าทาง แสงสี ฉากหลัง และมุมกล้อง บอกได้เลยว่า รูปที่ออกมาสวยอย่างนี้ คงไม่ได้ออกมาดีเพราะนางแบบเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากคนถ่ายรูปที่เห็นความงามของเธออย่างแท้จริง และเธอก็มองเห็นจิตใจของเขาด้วย รูปจึงออกมามีจิตวิญญาณเนื่องจากมีความรู้สึกที่ดีของคนทั้งสองคนพุ่งเป็นรังสีผ่านเลนส์กล้องสองทิศทางทั้งไปและกลับ ถึงตอนนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วว่าใครถ่ายภาพให้เธอ ผมเองก็ชอบถ่ายภาพคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่เรารู้สึกดีด้วย รู้สึกว่าเราเข้าใจเธอได้ดี รู้สึกว่าเราอยากจะแก้ปัญหาชีวิตให้กับเธอ และอยากจะอยู่เพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงาให้เธอตลอดไป แต่หลังจากเกิดวิกฤตการณ์เกาหลีในครั้งนั้นผมก็แทบจะไม่ได้มองใครอีก เคยถ่ายภาพคนที่เราเคยถูกใจบ้าง แต่พอมาดูภาพอีกที ถึงแม้นางแบบจะยิ้มสวย มุมกล้องได้ แต่มันไม่มีรังสีสองทิศทางเหมือนภาพของอบ มันเป็นแค่รังสีทางเดียวที่พุ่งจากผมไปที่ตัวของนางแบบ แต่ไม่มีอะไรสะท้อนกลับมาเหมือนยิงอะไรสักอย่างเข้าไปในหลุมดำแล้วปรากฏว่ามันหายจ้อยไปเลย อะไรประมาณนั้น เรื่องอย่างนี้ผมไม่โทษใคร ทั้งกล้อง ตัวผม และเธอคนนั้น หากจะโทษผมก็คงโทษความบังเอิญ ที่จัดให้เรามาเจอกับ “คนที่ใช่”ของเรา แต่บังเอิญเราไม่ใช่ “คนที่ใช่” ของเธอ จริงอยู่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผล แต่ที่เหนือกว่าเหตุผลคือความบังเอิญ ถึงเวลานี้ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะว่า…อาจเป็นเพราะว่าเราบังเอิญไม่รักกัน…ก็แค่นั้นเอง

“เหม่อลอยอีกแล้วนะคะ คิดอะไรอยู่เหรอคะ” อบถามขึ้นมาจนผมสะดุ้ง

“เออ…รูปที่ไปเที่ยวสวยดีนะครับ แล้วใครเป็นคนถ่ายรูปให้หรือครับ”

อบไม่ตอบคำถามของผม แต่เธอยิ้มด้วยมุมปากนิดๆแบบขวยเขิน

~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~ – ~

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

รู้แต่ว่าฉันและเธอเคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน

ตอน ม.1ก็ถูกบังคับให้ทานอาหารกลางวันเหมือนกัน

กับเมนูหลัก ข้าวราดกระเพรา และของว่างคือถั่วเขียวต้มน้ำตาลอันแสนโอชะ

คลอเคล้าไปกับเสียงเพลงในอัลบั้มชุดแรกของพี่เบิร์ด (ที่ปัจจุบันนี้กลายเป็นป้าเบิร์ด)

เราทานที่เดียวกัน ประชุมที่หอประชุมเดียวกัน

ฉันคงเคยเดินผ่านเธอ

และเธอก็คงเคยเดินผ่านฉัน

ฉันและเธอคงเคยมาสาย และโดนใช้ให้เก็บขยะเหมือนกัน

อาจจะเคยเอาไม้ไล่จิ้มขยะชิ้นเดียวกันเสียด้วยซ้ำ

…แต่เราก็ไม่รู้จักกัน

ต่อมา…

เธอแยกไปเรียนสายศิลป์

ส่วนตัวฉันก็ไปเรียนสายวิทย์

แต่เราก็ยังทานอาหารในโรงอาหารเดียวกัน

อาจจะเคยต่อแถวซื้อข้าวมันไก่ที่คนขายตัวใหญ่ๆเหมือนกัน

หรือซื้อน้ำลำไยแก้วละ 2 บาทพร้อมๆกัน

อาจเคยเดินสวนกันสักห้าหกหมื่นหน…

ทั้งในโรงเรียนและในห้างดังข้างๆโรงเรียนที่พวกเราโปรดปราน

ร่วมงานกีฬาสี งานโน้น งานนั้น และงานนี้

…แต่เราก็ยังไม่รู้จักกัน

หลายๆปีผ่านพ้นไป…

ฉันเจอเธออีกทีบน facebook

เธอบอกว่าคงไม่มีใครจำเธอได้

ซึ่งก็อาจจะจริง

เพราะว่าเห็นรูปครั้งแรกนึกว่าเธอเป็นสาวเกาหลี

หรือว่าเป็นเกาหลีที่แอบปลอมตัวมาเป็นเด็กหอวังจริงๆ ก็อาจจะเป็นได้

แต่ที่น่าแปลกคือ…เราเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันตั้งหลายปี

แต่ก็ไม่เคยรู้จักกันสักที

อาจเป็นเพราะว่าเธอบังเอิญไม่เจอฉัน

หรือ อาจเป็นเพราะว่าเราไม่มีวาสนาต่อกัน

แต่ก็ไม่เป็นไร

ตอนนี้ยังไม่สาย

ที่จะบอกว่า….

ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ


ลมยามบ่ายพัดผ่านบ้านสวนหลังน้อยและศาลาริมน้ำซึ่งเป็นมุมโปรดของวนิดา สาวขี้เหงา ซึ่งวันนี้เธอกำลังนั่งกอดเข่ามานานโขแล้ว รอยยิ้มเล็กๆผนวกกับสายตาอันเศร้าของเธอช่างยากที่ใครจะเดาออกว่าเธอกำลัง คิดอะไรแม้แต่เจ้าน้องหมาสุดที่รักของเธอเอง

“ทำไมทำตาโตอีกล่ะจ๊ะ โกโก้” วนิดาตื่นขึ้นจากจินตนาการชั่วขณะ เมื่อเจ้าโกโก้ หมาน้อยตาโต มาส่ายหัว ส่ายหาง ทำหูลู่ลม อยู่เบื้องหน้า

“ขอบคุณนะจ๊ะที่ เป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ โกโก้ แค่รู้สึกอะไรเหงาๆขึ้นมานิดหน่อย เลยอยากนั่งเหงา ประชดชีวิตมันบ้าง” วนิดาพูดเองเออเองให้เจ้าโกโก้ซึ่งกำลังยืนทำตาปริบๆอยู่ฟัง วันนี้เธอใส่หมวกปีกบานสีชมพู ติดดอกไม้ เหมือนในละครเรื่อง “วนิดา” ที่เธอแสนจะโปรดปราน ดูๆไปแล้วเธออาจจะเลียนแบบฉากที่วนิดากำลังรอคอยพันตรีประจักษ์กลับมาทาน ข้าวเย็นเสียด้วยซ้ำ

ที่จริงแล้ววนิดาก็มิได้มีชีวิตที่แสนจะรันทด อะไรนักหนาที่จะต้องมานั่ง ยิ้มเหงาๆอยู่คนเดียว เธอมีชีวิตเป็นปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ตื่นขึ้นมาตอนเช้าไปทำงาน แต่วันเสาร์อาทิตย์เธอขอปลีกตัวให้กับเวลาส่วนตัวบ้าง ซึ่งเธอก็จัดให้เต็มที่สำหรับความเหงา…เพื่อนสนิทของเธอเป็นการเฉพาะ มันเป็นเวลาสำหรับการครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านไป เหมือนเรื่องของวันนั้น…เมื่อประมาณห้าหรือหกปีที่แล้ว…

ในวันว่างๆ ของฤดูร้อนในปีนั้น ดอกหญ้ากำลังปลิวว่อนฟุ้งกระจายไปตามแรงลมแข่งกับแมลงปอแสนซนที่บินไล่กันไป ตามต้นกกริมคลอง วนิดากำลังนั่งอยู่ในเรือที่โลดแล่นไปตามผืนน้ำกับ “ภูผา” เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็ก ส่วนเพื่อนสาวของเธออีกสองคนพายเรืออยู่อีกลำหนึ่งอยู่ห่างๆ วันนี้เธอใส่หมวกปีกบานสีชมพูใบโปรด นั่งชมนกชมไม้ไปตามลำน้ำ ส่วนภูผากำลังพายเรืออยู่อย่างขะมักเขม้น

ภูผาเป็นคนดี ถึงจะไม่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็มีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อนๆอยู่เสมอ และที่สำคัญ หน้าตาหล่อคมเข้มเหมือนพระเอกผีดิบแวมไพร์ในหนังฝรั่งที่เธอคลั่งไคล้ เขาเพียบพร้อมเกือบจะทุกอย่าง เสียอยู่อบ่างเดียวคือว่ายน้ำไม่เก่ง แต่เธอกลับว่ายน้ำดำน้ำได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นปลา แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่าวันนี้เขาอาสาพายเรือให้เธอนั่งอย่างเต็มใจ

“อาทิตย์ หน้าภูว่างหรือเปล่าจ๊ะ ดาอยากจะไปทำบุญที่วัดจ้ะ” เธอเริ่มชักชวนเขาเพื่อไปทำบุญ เผื่อชาติหน้าจะได้มีโอกาสลงเรือลำเดียวกันแบบนี้อีก

“ได้สิ ถ้าว่างนะ เดี๋ยวเราขอดูเวลาอีกทีนะ” ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงอันอ่อนโยน เขาเป็นคนดีอยู่อีกอย่าง คือไม่ค่อยปฏิเสธความต้องการของเพื่อน

ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมานานมากแล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดชายหญิงคู่นี้ก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น ภูผามิได้แสดงความสนใจในวนิดาแบบที่เกินเพื่อน หรือบางทีเขาอาจจะห่วงเรื่องอื่นๆมากไปจนลืมนึกถึงความรู้สึกของเธอ หรือเขาอาจจะเป็นเกย์ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่…กลับกลายเป็นวนิดา วนิดาคนเดียวเท่านั้นที่คิดไกลไปกว่านั้น การที่เขาที่ไม่ค่อยปฏิเสธความต้องการของเธอกลับทำให้เธอยิ่งถลำลึกเข้าไปใน ความรู้สึกประเภทหนึ่ง ที่มันสายเกินกว่าที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นอีกแล้ว

“ภูไม่คิดที่ จะแต่งงานบ้างเหรอจ๊ะ นี่ก็เรียนจบมาหลายปีแล้วนะ มีใครที่สนใจบ้างหรือเปล่า แนะนำให้ดารู้จักบ้างก็ดีนะจ๊ะ” วนิดาถามหยั่งเชิง

“ยังไม่มีหรอกดา อยู่แบบนี้สบายดีออกนะ เรามีเพื่อนอยู่เยอะแยะ ยังไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นนี่นา” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันขวยเขิน วนิดายิ้มรับทราบเล็กน้อย เธอแอบดีใจว่าถึงแม้เขาจะยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงาน แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่มีใคร…หรือว่ายังไม่มีใครคลั่งไคล้เขา…เท่ากับเธอ

“ที่จริงแล้วอยู่อย่างนี้ก็ดีนะจ๊ะ อยู่เป็นเพื่อนดาไง เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ ดามีความสุขมากที่สุดเลยที่มีภูอยู่เคียงข้างดาเสมอ” วนิดาทำตาหวานซึ้ง แต่ในเบื้องลึกแล้ว คำว่า “เพื่อนสนิท” ที่เธอเอ่ยมาบ่อยๆเพื่ออยากจะใกล้ชิดกับเขามากกว่าหญิงอื่นนั้น มันเปรียบเสมือนเป็นกำแพงขวางกั้นอันมหึมาเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาอาจจะคิดกับเธอว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทตลอดไป และอาจจะไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอื่น

เรือลำน้อยค่อยๆล่องลอยไปตามสายน้ำ อย่างเอื่อยๆ ภูผาพายเรือช้าๆเหมาะกับบรรยากาศที่วนิดาต้องการให้เวลาแห่งความสุขเลื่อน ไหลไปให้ช้าที่สุด ส่วนเพือนของเธออีกสองคนนั้นพายเรือตามมาอยู่ห่างๆ ที่จริงแล้วเพื่อนสองคนนั้นพายเรือไม่ค่อยคล่องนัก เรือของพวกเธอโครงเครงไปมา แต่วนิดาก็มิได้กังวลถึงความปลอดภัยของเพื่อนเกินกว่าปกติ เพราะน้ำที่นี่ไม่ลึกและไหลไม่แรง คลองแห่งนี้ไม่ค่อยจะมีผู้คนจอแจเหมือนที่อื่นๆ เสียงส่วนใหญ่จึงเป็นเสียงนกหรือแมลงตามต้นไม้ใหญ่หรือพุ่มไม้ข้างๆนั่นเอง มันดูเงียบวังเวง เหมาะแก่การพักสมองของคนที่เบื่อสีสรรของเมืองกรุง เธออยู่กับคลองนี้มาตั้งแต่เด็ก จุดที่เธอชอบสุดคือโค้งสุดท้ายของลำน้ำ  ก่อนที่จะวนกลับไปยังริมตลิ่งหน้าบ้านเธอ ซึ่งถือเป็นอันจุดสิ้นสุดของการพักผ่อนตามลำน้ำ ในโค้งสุดท้ายนี้ต้นไทรทั้งสองฝั่งได้ปกคลุมจนมืดคลึ้มกลายเป็นซุ้มธรรมชาติ ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของคลองนี้

กาลเวลาในลำเรือมันช่างผ่านไปอย่าง ช้าๆ ช้าเสียจนหัวใจที่ร้อนรนของหญิงสาวไม่สามารถจะทานทนต่อไปได้อีกแล้ว นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่เธอปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยมานานมา หลายปีโดยที่ไม่มีโอกาสที่จะบอกความในใจกับเขา แม้ว่าบางที…มันอาจจะทำให้เธอหายอึดอัดกลัดกลุ้ม หรืออาจจะทำให้อะไรๆมันดีขึ้นกว่านี้ก็ได้ เพียงแค่บอกให้เขารู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร…แค่สักครั้ง

ในตอนนี้ เรือลำน้อยกำลังจะเข้าสู่โค้งสุดท้ายของลำน้ำ โค้งอันศักดิ์สิทธิ์ นี้เป็นอีกมุมหนึ่งที่คนชอบมาขอหวย อาจเป็นเพราะว่ามีเจ้าแม่ประจำต้นไทรหรือมีอะไรบางอย่างที่ให้ความหวังกับ ผู้คนในละแวกนี้ วนิดาเองก็ไม่แตกต่างจากคนเหล่านั้น เธอเชื่อในความหวังบางอย่างอยู่เหมือนกัน อะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ใครจะไปรู้…หากเธอเอ่ยคำนั้นออกไป ภายใต้ซุ้มธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์นี้

“ตรงโค้งนี้พายเรือช้าๆนะภู ซุ้มต้นไทรนี่ศักดิ์สิทธิ์นะ เค้าว่ากันว่าใครหวังอะไรไว้ ก็ลองบอกกล่าวเจ้าแม่ไว้นะจ๊ะ อาจจะสมหวังก็ได้นะ” เธอพูดอย่างจริงจัง ส่วนเขาพยักหน้ารับ ชะลอฝีพายให้ช้าลง เวลาในเรือที่ยิ่งช้าลงมันยิ่งทำให้เธอเข้าถึงความกล้าบางอย่าง ถ้าหากเรือที่มีเขาและเธออยู่ด้วยกันผ่านพ้นซุ้มนี้ไปโดยที่เธอมิได้บอกความ จริงกับเขาไป มันก็อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะบอกเขา เพราะในความรู้สึกลึกๆแล้ว วันนี้และที่นี่เป็นสิ่งที่ลงตัวสุดๆ เหมาะสมทั้งบรรยากาศ ความใกล้ชิด และระดับของความรู้สึก และมันก็คงเป็นโอกาสสุดท้ายจริงๆที่เธอจะทนอยู่ต่อไปกับความลับในใจที่คอย กัดกร่อนชีวิตของเธอ

เรือลำน้อยก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านซุ้มไปอย่างช้าๆ กว่าที่มันจะผ่านไปทั้งหมดคงกินเวลาสักครึ่งนาที หญิงสาวรวบรวมความกล้าทั้งหมด ค่อยๆขยับเขยื้อนกายเข้าไปหาเขา หัวใจเธอเริ่มเต้นระทึก ใบหน้าเธอร้อนเริ่มผ่าว เธออยู่ใกล้กับเขาจนแทบจะหยุดลมหายใจเอาไว้ เสียงนก เสียงน้ำ เสียงฝีพาย และเสียงเต้นของหัวใจพลันเงียบลง แล้วเธอก็เอื้อนเอ่ยออกไปว่า “ภู…ดามีอะไรจะบอก”

“มีอะไรเหรอดา” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยอาการสงสัย

“ภู ฟังนะ มันเป็นความรู้สึกของดาจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง อยากบอกให้เธอรู้ว่า…”  วนิดาพูดยังไม่ทันจะจบประโยค และแล้วก็มีเสียงดังตูม..เหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นลงน้ำ พอมองออกไปทางด้านหลัง เรือของเพื่อนเธออีกลำ ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณสักสิบกว่าเมตรคว่ำลง เพื่อนเธอทั้งสองคนกำลังตะเกียกตะกายอยู๋ในน้ำยกมือยกไม้ร้องขอความ ช่วยเหลือ ที่สำคัญทั้งสองคนนั้นก็ว่ายน้ำไม่ค่อยเป็น วนิดาผู้เล่นน้ำคลองมาตั้งแต่เกิดตัดสินใจพุ่งตัวลงไปช่วยเพื่อนที่กำลัง ตะเกียกตะกายไขว่คว้าหาหลักยึดอยู่ ทีละคนๆจนขึ้นฝั่งได้ ในขณะที่ภูผาซึ่งว่ายน้ำไม่แข็งคอยเอาใจช่วยอยู่บนเรือ

เพื่อนทุกคน ปลอดภัยดี แต่ดูเหมือนความฝันของวนิดาจะจบลง เหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ เหมือนใบไม้ที่หลุดออกจากกิ่งแล้วไม่มีวันหวนกลับคืนสู่ยอดไม้ คำบางคำหากไม่ได้เอ่ยกล่าวไปในคราวที่เหมาะสม ก็คงจะเหมือนยาที่หมดอายุ นำมาใช้เพื่อรักษาโรคอะไรคงไม่เป็นประโยชน์ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ภูผาก็มิได้ทวงถามว่าวนิดาต้องการจะบอกอะไรกับเขา บางทีเขาอาจจะลืมไปแล้ว หรือมิได้คิดว่าประโยคนั้นมันสำคัญอะไรหนักหนากับชีวิตของเธอ เขาหายไปจากชีวิตของเธอ บางทีเขาอาจจะไปพายเรือให้หญิงอื่นนั่งก็เป็นได้ ส่วนเธอก็ไม่มีโอกาสที่จะบอกความในใจกับเขาอีกเลย และก็ไม่มีใครคนอื่นๆอีกที่เหมาะสมสำหรับคำๆนั้น เธอเคยคิดว่า หากเธอพูดคำสุดท้ายไปให้ครบมันจะเสียเวลาไปสักกี่วินาที หรือถ้าเธอคิดให้ดีๆก่อน ก็คงไม่เริ่มต้นด้วยประโยคยาวๆแบบนั้น ซึ่งมันก็จะประหยัดเวลาให้เธอไปได้สักหน่อย แถมยังมีเวลาเหลือพอที่จะกระโดดไปช่วยเหลือเพื่อนได้ทัน

“แต่ถึงพูด คำนั้นไปก็ใช่ว่าชีวิตฉันจะเปลี่ยนไปใช่ไหม มันอาจจะไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลยก็ได้ เธอเข้าใจใช่ไหมจ๊ะโกโก้ ยังไงชีวิตของเพื่อนฉันก็สำคัญกว่าเสมอ ถ้าฉันจะเสียเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพียงแค่จะเอ่ยคำนั้นออกมา แต่มันทำให้เพื่อนฉันตายกลายเป็นผีเฝ้าคลอง ฉันก็คงทนอยู่ต่อไปไม่ได้ในโลกใบนี้ และวันนี้เธอก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นยิ้มหวานๆซึ้งๆตามแบบฉบับของวนิดาแบบนี้นะจ๊ะ” วนิดาหันมายิ้มเจื่อนๆกับเจ้าหมาน้อย

โกโก้จ้องมองอากัปกิริยาของเธอ แล้วเห่าสนับสนุนไปอีกสองสามโฮ่ง

“เธอนี่เป็นสุดยอดน้องหมาเลยนะจ๊ะ เข้าใจฉันไปซะทุกเรื่อง”

โกโก้มองกลับด้วยสายตาวิงวอน ซึ่งถ้าพูดได้มันคงจะบอกเธอไปแล้วว่า

“วนิดาจ๋า เธอหยุดยิ้มหวานๆทำตาซึ้งได้แล้ว จริงๆแล้วฉันไม่ได้เข้าใจอะไรในตัวเธอมากมายนักหรอก แค่อยากบอกให้เธอรู้ว่า…ฉันหิว ได้โปรดไปเติมอาหารหมาในชามให้ทีเถอะ มันหมดตั้งนานแล้วนะจ๊ะ

นึกย้อนหลังไปเมื่อหลายเดือนก่อน เมื่อพี่คนหนึ่งที่ทำงานบอกว่าต้องรีบกลับไปรับลูกที่โรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนจะปิดชั่วคราวเพราะว่ามีเด็กเป็นโรคมือเท้าปาก

“โรคอะไรครับพี่ มือเท้าปาก แล้วมัน มือเท้าปากอะไรล่ะครับ ผมไม่เข้าใจ?” ผมถามแกตรงๆ ซึ่งแกก็บอกว่ามันชื่อโรคมือเท้าปาก แค่นั้นจริงๆ ผมยังแอบแซวเล่นเลยว่า “มันโรคอะไรวะ แล้วมือเท้าปากแล้วมันยังไงต่อล่ะ ทำไมชื่อมันจบแค่นี้”

จนกระทั่งวันอังคารที่ผ่านมาตอนบ่ายๆ หลังทานข้าวกลางวันเสร็จก็รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ เมื่อยๆตามข้อ ผมเลยกินยาลดไข้ไป 2 เม็ด พอตอนกลางคืนยังมีไข้เหมือนเดิม ตอนเช้าวันพุธก็ยังรู้สึกเป็นไข้ ไม่สบาย เลยไม่ไปทำงาน ช่วงบ่ายของวันพุธเริ่มเจ็บคอเลยทานยาปฏิชีวนะเพราะคาดว่าคงเป็นหวัดเจ็บคอแน่ๆ ตอนบ่ายวันพุธไข้ลดลงแล้ว ผมมานอนพักผ่อนเล่นหน้าบ้าน ที่ฝ่ามือสองข้างเห็นมีผื่นๆสีแดงเล็กๆ มีตุ่มๆคล้ายเป็นผื่นจากภูมิแพ้ เลยไม่ได้ใส่ใจเพราะนึกว่ามันคงหายไปเอง แถมยัีงซนไปบีบมัีนเล่นอีก วันพุธกลางคืนเจ็บคอมากขึ้น กลืนน้ำยังเจ็บคอเลย เช้าวันพฤหัสบดีผมเลยลางานต่ออีก 1 วัน

ส่วนเรื่องอาการเจ็บคอ ลองส่องกระจกดูแถวๆลิ้นไก่ดูว่ามันแดงๆหรือเปล่า เห็นเป็นจุดขาวๆเล็กๆสักสองจุดใกล้ๆ ตอนแรกคิดว่ามันคงจะเป็นร้อนในหรือจะเป็นหนองหรืออย่างๆไร แต่หากมันเกิดเป็นต่อมทอนซิลอักเสบก็ยังกังวัลอยู่ …แล้วพอมองไปที่ฝ่ามือขวาและซ้ายก็พบว่ามันไม่ใช่ภูมิแพ้อย่างที่เราคิด มันเป็นผื่นสีแดงๆชมพูอ่อน ที่มีตุ่มเล็กๆแบบโดนของร้อนหรือมือพอง กระจายอยู่เต็มฝ่ามือ ไม่เจ็บและไม่คัน (ถ้าเป็นหิดจะคัน) ไม่รู้ว่านึกอย่างไรคิดถึงเจ้าโรคมือเท้าปากที่เคยนึกขำๆกับชื่อของมันอยู่ เลยไปเจอหาบน Internet พบว่ามันเป็นโรคที่เป็นกับเด็ก แต่อาการใช่เลย คือเป็นไข้ก่อน มีตุ่มตามมือและเท้า และในปาก รูปอาการของเด็กมันดูน่ากลัวมากๆ เพราะว่าเป็นแผลในปากด้วย และเด็กไม่ได้เป็นตุ่มแค่ฝ่ามือฝ่าเท้า แต่รอบๆมือด้วย แต่ผมไม่มีอาการอย่างนั้น นอกจากเจ็บคอและก็ตุ่มที่ฝ่ามือ และที่สำคัญมันเป็นโรคของเด็กอายุน้อยๆ เลยคิดว่าคงไม่ใช่ แต่ในใจก็ยังสงสัยอยู่

ตกกลางคืนวันพฤหัส ตุ่มแดงๆที่ฝ่ามือสีมันคล้ำขึ้นจนสังเกตได้ชัด แถมมีผื่นและตุ่มเริ่มขึ้นที่ฝ่าเท้า คราวนี้เลยเริ่มแน่ใจว่าตัวเราอาจเป็นโรคชื่อแปลกๆโรคนี้ กลับมาอ่านดูอีกทีพบว่ามันเป็นโรคเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่มียารักษา ต้องรอให้มันหายไปเองเมื่อภูมิต้านทานในร่างกายเราดีขึ้น

เช้าวันศุกร์เลยไปหาหมอโรคผิวหนังที่โรงพยาบาลแต่เช้า แบมือ และก็โชว์ฝ่าเท้าให้หมอดู บอกว่าเป็นไข้ก่อนด้วย แล้วถามว่าใช่หรือเปล่า หมอส่องดูในปากนิดหน่อย (ตอนนั้นยังเจ็บคออยู่) แล้วมองหน้า แกถามว่า “คุณทำอาชีพอะไร เพราะมันเป็นโรคมือเท้าปาก แต่ไม่ค่อยมีคนเป็นกัน โดยเฉพาะผู้ใหญ่” ผมเลยบอกว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเพิ่งไปเที่ยวมา หมอเลยเดาว่าผมคงไปทานอาหารที่มีเชื้อนี้ปะปน เพราะว่ามันแพร่เชื้อได้ทางน้ำลาย และอุจจาระเป็นต้น (เด็กอ่อนจะติดจากอุจจาระ) และที่สำคัญผู้ใหญ่ไม่ค่อยจะเป็นกัน ดังนั้นผมอาจจะได้รับสายพันธุ์ที่ไม่ธรรมดาก็ได้ เนื่องจากไวรัสที่มีอยู่ทั่วไปมันอาจกลายพันธุ์ไปเป็นอีกพันธุ์ที่ผู้ใหญ่ก็ติดได้ หมอเลยเขียนใบรับรองแพทย์ให้หยุดอีกหลายวันจนคิดว่ามันหมดระยะแพร่เชื้อ เพราะว่าถ้าผมเกิดได้รับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาจริงๆรับรองว่าเรื่องใหญ่แน่ๆ วันนี้เริ่มเดินแล้วรู้สึกจั๊กจี้หน่อยๆเนื่องจากเริ่มมีตุ่มขึ้นที่ฝ่าเท้า ส่วนที่ฝ่ามือซึ่งตุ่มมันเกิดก่อน เริ่มยุบลงแต่เริ่มมีสีคล้ำขึ้น ดูแล้วสยองมากขึ้น ลองนึกเอาเองว่าคนที่เค้าเห็นต้องสงสัยว่าเราเป็นโรคติดต่อร้ายแรงอะไรหรือเปล่าหนอ

มันเป็นความกังวลจนต้องคอยซุกซ่อนมือที่เป็นตุ่มๆสีเลือดช้ำๆไม่ให้ใครเห็นเมื่อผมไปซื้อขนมร้านเบเกอรี่ แม้จะเป็นร้านที่เคยซื้อประจำ แต่มาคราวนี้ผมมากับมือที่ไม่เหมือนเดิม ผมยื่นเงินให้คนขายแบบคว่ำมือ…แบบว่า แบงค์ที่คีบยื่นให้เกือบจะตั้งฉากกับพื้น เวลารับเงินทอนมาก็รับแบบตะแคงๆมือหน่อยๆ กลัวเค้าจะเห็นฝ่ามือเรา ถึงจุดนี้แล้ว เข้าใจเลยว่า คนที่เป็นโรคร้ายแรงพวกโรคเอดส์นี่เค้าจะอยู่ในสังคมด้วยความกลัวยังไง เพราะบางคนเป็นแผลทั้งตัว คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่เค้าจะอยู่แบบไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง

ผ่านไปสี่วัน ถึงวันเสาร์ ตุ่มที่มือยุบไปมาก แต่ที่เท้าเพิ่งเริ่มจะยุบ พอเดินจะเจ็บ วันนี้นับว่าทรมานเหมือนกัน ต้องเดินแบบเขย่งๆทั้งวัน เหมือนตุ่มแบบเท้าพองนั่นแหละ แต่ลองจินตนาการดูว่าหากมีหลายๆอันบนเท้าคุณจะเดินอย่างไร (ถ้าคุณไม่ตะแคงตีนเดิน?)

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ก็เริ่มจะเดินได้เป็นปกติแล้ว บนมือไม่มีตุ่มแล้ว รอให้รอยแดงๆมันจางหายไป ลองคิดบวกดูนะว่าถ้าเราไม่โชคดีเป็นไอ้โรคชื่อประหลาดนี้ เราจะรู้ไหมว่าเด็กที่เป็นมันรู้สึกอย่างไร เพราะเด็กที่เป็นโรคก็เป็นเด็กเล็ก ลองคิดดูว่าเวอร์ชั่นเด็กมันจะมีตุ่มปวดแสบปวดร้อนในปาก… เด็กมันคงตรอมใจตาย แค่เราไม่อยากพบหน้าผู้คน ไม่ได้ออกไปไหน เดินแบบเขย่งๆ แถมกว่าร่องรอยแผลเป็นที่มือจะจางหายก็คงอีกสักสองสามอาทิตย์ แค่นี้ก็เซ็งสุดๆแล้ว

สรุปก็คือ…ให้มันชื่อโรคมือเท้าปาก อย่างเดิมต่อไปเถอะ แบบไม่ต้องมีอะไรคำขยายอะไรต่อน่ะดีแล้ว ให้ผู้ที่เป็นโรคนี้จินตนาการเอาเอง ว่า มือเท้าปากมัน เจ็บ  หรือน่ารำคาญ  หรือน่าอับอาย หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่ว่าเจ้าของของมือ เท้า และปากนั้นๆจะรู้สึกอย่างไรกับชีวิต

หมายเหตุ “ข้อมูลที่นำเสนอในเรื่องต่อไปนี้ มิได้เขียนให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและความเป็นจริง พฤติกรรมและแนวคิดของตัวละครทุกตัว เช่น วนิดา และทันตแพทย์ล้วนมาจากจินตนาการของผู้เขียน ซึ่งเป็นการเสริมเติมแต่งเพื่อความบันเทิง”

 

กระแสแห่งแฟชั่นของวัยรุ่นที่ชอบใส่เหล็กดัดฟันกันจนเกร่อมิได้ทำให้วนิดาอยากจะทำตามบ้าง ถึงแม้ว่าจะได้ลุกค์ใหม่แบบแบ๊วๆเก๋ไก๋ตามประสาของเด็กสมัยนี้ เธอมักจะยึดคติที่ว่า “คนเราสวยได้โดยไม่ต้องแคร์สื่อ” ทำให้เธอมั่นใจกับตัวเองอย่างสูงกับใบหน้าที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด มิได้มีการเสริมเติมแต่ง ติดตั้ง และต่อเติมด้วยสิ่งแปลกปลอมภายนอกใดๆ

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เค้าโครงของช่องปากก็มีอันเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเหมือนกัน ฟันหน้าของมนุษย์ทุกคน ไม่ฟันบนก็ฟันล่าง ก็เริ่มที่จะยื่นออกมา มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่วิถีการขบเคี้ยวของแต่ละปัจเจกบุคล ทำให้บริเวณพื้นใช้สอยที่ใช้ขบเคี้ยวอาหารน้อยลง วนิดาเล็งเห็นความสำคัญของการจัดฟันให้เข้ารูปเข้ารอยเพื่อสุขภาพของปากและฟันที่ดี โดยมิได้ยึดเอาความสวยงามเป็นที่ตั้ง เธอเข้าใจดีว่านโยบายกระชับพื้นที่ (ศัพท์คำนี้เธอยืมมาจากศอฉ.) ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดจากการบีบรัดของเหล็กดัดฟัน นอกจากนี้ อาหารสุดโปรด เช่น ไข่ต้ม ตับ และ ขนมกุ่ยช่าย คงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ติดเหล็กดัดแบบเธออีกต่อไป เพราะว่าเศษเสี้ยวของอาหารเหล่านี้มันจะไปติดตามซอกของเหล็กดัดฟันด้วยสีสรรที่นับว่าแรงมากๆ

“หากหนูดัดฟันต้องใส่เหล็กดัดไปอีกนานเท่าไหร่เหรอค่ะคุณหมอ” วนิดาถามทันตแพทย์อย่างวิตกกังวล

“ก็คงใช้เวลาอีกประมาณ 2 ปีอย่างน้อยล่ะครับ ถึงจะเห็นผล แต่ผมคงต้องค่อยๆบีบฟันของคุณที่ละน้อยๆจนมันเข้าที่นะครับ” คุณหมอตอบแบบไร้อารมณ์ แต่ในใจแกคงอยากจะเอาคีมอันใหญ่แบบช่างทำท่อประปาใช้ มาบีบให้ฟันของวนิดาให้เข้าที่ไปให้เร็วที่สุด

“งั้นก็ OK ค่ะ แล้วมีสีอะไรให้เลือกบ้างล่ะคะ เออ…หน้าตาอย่างหนูนี่ใส่สีอะไรดีคร้า…คุณหมอ”

“สีก็คงแล้วแต่แฟชั่นครับ แต่คนที่ใส่เหล็กนั้นส่วนใหญ่จะทานอาหารได้น้อยลงนะครับ รับรองว่าผอมลงอย่างถนัดตา แต่ก็มีบางคนก็เลือกจะทานอาหารเดิมๆที่ตัวเองชอบ เช่น พวกที่คลั่งไคล้ผักที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน พวก ฟักทอง แครอท หรือข้าวโพด ก็จะเลือกเหล็กดัดฟันสีเหลืองหรือสีส้ม พวกชอบกินอาหารแดงๆเป็นชีวิตจิตใจก็จะเลือกสีแดง เรียกว่าก่อนดัดกินกันยังไง หลังดัดก็กินแหลกเหมือนเดิมก็มีนะครับ เพราะว่าสีของเหล็กดัดฟันจะเข้ากับอาหารได้ดีที่เดียว คุณเลือกสีตามอาหารที่ชอบไหมล่ะครับ” หมอแนะนำไปตามระเบียบ

“ไม่ล่ะค่ะ อย่างนั้นหนูขอสีฟ้าแล้วกันนะค่ะ แบบว่าดูแล้วสุขุม เรียบร้อย เป็นผู้ใหญ่หน่อยหนึ่งอะค่ะ ไม่ดูแบ๊วมาก แต่ก็ดูดีมีสไตล์นิดๆ” เธอตอบไปอย่างอารมณ์ดี ยิ้มด้วยมุมปากนิดๆไม่เห็นไรฟันตามที่เธอถนัด

“ก็ดีนะครับ ผมก็คิดว่าเหมาะกับใบหน้าของคุณมากเลย รูปหน้ายาวๆ จมูกงอนๆ ก็ต้องสีฟ้านั่นแหละครับ” หมอมือใหม่เชียร์อย่างออกหน้าออกตา

สองชั่วโมงผ่านไป วนิดาลงเอยด้วยการติดเหล็กดัดฟัน …สีฟ้า…ดูดีมีสไตล์อย่างที่คิดไว้

สองวันผ่านไป เธอฝึกยิ้มหวานในรูปแบบใหม่ๆ แบบโชว์เหล็กดัดหน่อยๆ ซึ่งลองทำดูจะพบว่ามันยิ้มได้หลายรูปแบบจริงๆ เพื่อนของเธอหลายคนแซวเธอว่าไปจัดฟันเพราะว่าอยากสวย แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ เพราะถึงตอนแรกเธอทำไปเพื่อให้ได้มีสุขภาพปากและฟันที่ดีขึ้น แต่เมื่อได้ความสวยเป็นของแถม เธอก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับมัน

สองปีผ่านไป เธอมีความสุขกับโครงสร้างปากที่สวยได้รูป จนเมื่อถึงเวลาที่จะเอาเหล็กดัดฟันสีฟ้าแสนสวยออกเพื่อที่เธอจะได้มีฟันที่ปกติเสียที เธอก็ยังเสียดายเจ้าเหล็กดัดฟันเพื่อนยากอยู่นิดๆเพราะอยู่กันมานานตั้งสองปีกว่า …และที่สำคัญ…เธอเสียดายยิ้มหวานๆ แบ๊วๆ แบบมีเหล็กดัดฟัน ซึ่งตอนนี้เธอคงต้องปรับตัวและฝึกยิ้มแบบเดิมๆอีกสักสองสามวัน …ก่อนที่จะหวนกลับคืนสู่ยิ้มแบบเดิมๆของวนิดา

ในเวลาบ่ายแก่ๆ ณ บ้านไม้หลังเก่าที่ใช้เป็นโรงงานทอผ้าแห่งหนึ่งริมทะเลสาบอินเลในรัฐฉาน หญิงชราคนหนึ่งกำลังวุ่นอยู่กับการร้อยเรียงเส้นใยบัวเพื่อนำมาทำเป็นหลอดด้าย ก่อนหน้านี้ ก้านบัวแต่ละก้านจะถูกนำมาหักแล้วดึงเอาใยบัวบางๆออก…ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…ทีละเส้นใย ทีละเส้นๆ และกว่าจะนำมาเรียงร้อยผสมกันเป็นเส้นด้ายเส้นยาวก็กินเวลาหลายชั่วโมง หญิงชราที่พวกเราเรียกกันสั้นๆว่า ยายบัว มีหน้าที่คอยนั่งหลังขดหลังแข็งนำเส้นด้ายดิบที่ผ่านการย้อมสีมานั้น มาปั่นรวมกันเป็นหลอด ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้พอกินอยู่ประทังชีวิต

ด้วยเรี่ยวแรงที่อ่อนระโหยไปตามวัย จะไปทำงานอย่างอื่นที่ใช้สายตาหรือแรงงานอย่างสาวๆก็คงไม่ได้อีกแล้ว แกเลยมานั่งปั่นใยบัวเลี้ยงตัวเอง เสียงปั่นด้ายที่ดังจากเครื่องที่ตั้งอยู่บนไม้กระดาน โยกเยกโยกเยกไปมาตามแรงหมุนวงล้อปั่นด้าย ยายบัวปั่นด้ายสีแดงและสีน้ำเงินใสสด กระเป๋า ผ้าพันคอ หรือเสื้อตัวสวย ล้วนมาจากด้ายที่ผ่านมือยายบัวมาแล้วทั้งนั้น ปีนี้เธออายุได้ 64 ปี ตามรูปลักษณ์ภายนอกอาจจะดูประมาณ 70 กว่าปีซึ่งแก่กว่าอายุจริง อาจจะเป็นเพราะแกตรากตรำทำงานหนัก เลยทำให้สังขารร่วงโรยไปไวกว่าปกติ

ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงประมาณห้าโมงเย็น แกนั่งหลังขดหลังแข็งทำไปเหมือนถูกกลืนด้วยกาลเวลา ลูกหลานแกคงจะมีแต่ก็คงพึ่งพาใครไม่ได้ เพราะต่างคนก็มีรายได้ไม่มาก สุดท้ายยายบัวก็ต้องมาทำงานเลี้ยงตนเอง

นายจ้างของยายได้นำกระเป๋า เสื้อ หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ยายบัวและเพื่อนๆนั่งทำมากับมือ นำมาขายได้เงินหลายพันบาทต่อชิ้น เพราะถือว่าเป็นงานฝีมือ ทำขึ้นมายากและลำบากแบบหฤโหด (ใครกันแน่ที่ลำบาก?)…แต่จำนวนเงินที่เขาขายได้นั้นก็มิได้เกี่ยวอะไรกับค่าแรงของยายบัว มิได้ทำให้ยายบัว กลับกลายเป็น คุณนายบัว ยายบัวก็คงยังเป็นยายบัวคนเดิม ยิ้มแห้งๆ เจื่อนๆ นั่งปั่นด้ายบนพื้นไม้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น

หากผ่านไปที่ใดแล้วบังเอิญเห็นผ้าพันคอผืนสวยอย่างที่แม่หญิงคนนี้ใส่อยู่ล่ะก็…อย่าลืมนึกถึงคุณยายบัวและพวกยายๆป้าๆทั้งหลาย เพราะว่ามันถูกสรรสร้างมาจากเรี่ยวแรงและหยาดเหงื่อของหญิงชราอีกหลายๆคน ที่นั่งยิ้มเจื่อนๆไป ปั่นด้ายไป เรื่อยๆ เอื่อยๆ ตามประสาของคนแก่ กลางบ้านไม้เก่าๆ ริมทะเลสาบอินเลอันกว้างใหญ่