ลมยามบ่ายพัดผ่านบ้านสวนหลังน้อยและศาลาริมน้ำซึ่งเป็นมุมโปรดของวนิดา สาวขี้เหงา ซึ่งวันนี้เธอกำลังนั่งกอดเข่ามานานโขแล้ว รอยยิ้มเล็กๆผนวกกับสายตาอันเศร้าของเธอช่างยากที่ใครจะเดาออกว่าเธอกำลัง คิดอะไรแม้แต่เจ้าน้องหมาสุดที่รักของเธอเอง
“ทำไมทำตาโตอีกล่ะจ๊ะ โกโก้” วนิดาตื่นขึ้นจากจินตนาการชั่วขณะ เมื่อเจ้าโกโก้ หมาน้อยตาโต มาส่ายหัว ส่ายหาง ทำหูลู่ลม อยู่เบื้องหน้า
“ขอบคุณนะจ๊ะที่ เป็นห่วง แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ โกโก้ แค่รู้สึกอะไรเหงาๆขึ้นมานิดหน่อย เลยอยากนั่งเหงา ประชดชีวิตมันบ้าง” วนิดาพูดเองเออเองให้เจ้าโกโก้ซึ่งกำลังยืนทำตาปริบๆอยู่ฟัง วันนี้เธอใส่หมวกปีกบานสีชมพู ติดดอกไม้ เหมือนในละครเรื่อง “วนิดา” ที่เธอแสนจะโปรดปราน ดูๆไปแล้วเธออาจจะเลียนแบบฉากที่วนิดากำลังรอคอยพันตรีประจักษ์กลับมาทาน ข้าวเย็นเสียด้วยซ้ำ
ที่จริงแล้ววนิดาก็มิได้มีชีวิตที่แสนจะรันทด อะไรนักหนาที่จะต้องมานั่ง ยิ้มเหงาๆอยู่คนเดียว เธอมีชีวิตเป็นปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ตื่นขึ้นมาตอนเช้าไปทำงาน แต่วันเสาร์อาทิตย์เธอขอปลีกตัวให้กับเวลาส่วนตัวบ้าง ซึ่งเธอก็จัดให้เต็มที่สำหรับความเหงา…เพื่อนสนิทของเธอเป็นการเฉพาะ มันเป็นเวลาสำหรับการครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านไป เหมือนเรื่องของวันนั้น…เมื่อประมาณห้าหรือหกปีที่แล้ว…
ในวันว่างๆ ของฤดูร้อนในปีนั้น ดอกหญ้ากำลังปลิวว่อนฟุ้งกระจายไปตามแรงลมแข่งกับแมลงปอแสนซนที่บินไล่กันไป ตามต้นกกริมคลอง วนิดากำลังนั่งอยู่ในเรือที่โลดแล่นไปตามผืนน้ำกับ “ภูผา” เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็ก ส่วนเพื่อนสาวของเธออีกสองคนพายเรืออยู่อีกลำหนึ่งอยู่ห่างๆ วันนี้เธอใส่หมวกปีกบานสีชมพูใบโปรด นั่งชมนกชมไม้ไปตามลำน้ำ ส่วนภูผากำลังพายเรืออยู่อย่างขะมักเขม้น
ภูผาเป็นคนดี ถึงจะไม่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็มีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อนๆอยู่เสมอ และที่สำคัญ หน้าตาหล่อคมเข้มเหมือนพระเอกผีดิบแวมไพร์ในหนังฝรั่งที่เธอคลั่งไคล้ เขาเพียบพร้อมเกือบจะทุกอย่าง เสียอยู่อบ่างเดียวคือว่ายน้ำไม่เก่ง แต่เธอกลับว่ายน้ำดำน้ำได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นปลา แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่าวันนี้เขาอาสาพายเรือให้เธอนั่งอย่างเต็มใจ
“อาทิตย์ หน้าภูว่างหรือเปล่าจ๊ะ ดาอยากจะไปทำบุญที่วัดจ้ะ” เธอเริ่มชักชวนเขาเพื่อไปทำบุญ เผื่อชาติหน้าจะได้มีโอกาสลงเรือลำเดียวกันแบบนี้อีก
“ได้สิ ถ้าว่างนะ เดี๋ยวเราขอดูเวลาอีกทีนะ” ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงอันอ่อนโยน เขาเป็นคนดีอยู่อีกอย่าง คือไม่ค่อยปฏิเสธความต้องการของเพื่อน
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมานานมากแล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดชายหญิงคู่นี้ก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น ภูผามิได้แสดงความสนใจในวนิดาแบบที่เกินเพื่อน หรือบางทีเขาอาจจะห่วงเรื่องอื่นๆมากไปจนลืมนึกถึงความรู้สึกของเธอ หรือเขาอาจจะเป็นเกย์ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่…กลับกลายเป็นวนิดา วนิดาคนเดียวเท่านั้นที่คิดไกลไปกว่านั้น การที่เขาที่ไม่ค่อยปฏิเสธความต้องการของเธอกลับทำให้เธอยิ่งถลำลึกเข้าไปใน ความรู้สึกประเภทหนึ่ง ที่มันสายเกินกว่าที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นอีกแล้ว
“ภูไม่คิดที่ จะแต่งงานบ้างเหรอจ๊ะ นี่ก็เรียนจบมาหลายปีแล้วนะ มีใครที่สนใจบ้างหรือเปล่า แนะนำให้ดารู้จักบ้างก็ดีนะจ๊ะ” วนิดาถามหยั่งเชิง
“ยังไม่มีหรอกดา อยู่แบบนี้สบายดีออกนะ เรามีเพื่อนอยู่เยอะแยะ ยังไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นนี่นา” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันขวยเขิน วนิดายิ้มรับทราบเล็กน้อย เธอแอบดีใจว่าถึงแม้เขาจะยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงาน แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่มีใคร…หรือว่ายังไม่มีใครคลั่งไคล้เขา…เท่ากับเธอ
“ที่จริงแล้วอยู่อย่างนี้ก็ดีนะจ๊ะ อยู่เป็นเพื่อนดาไง เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ ดามีความสุขมากที่สุดเลยที่มีภูอยู่เคียงข้างดาเสมอ” วนิดาทำตาหวานซึ้ง แต่ในเบื้องลึกแล้ว คำว่า “เพื่อนสนิท” ที่เธอเอ่ยมาบ่อยๆเพื่ออยากจะใกล้ชิดกับเขามากกว่าหญิงอื่นนั้น มันเปรียบเสมือนเป็นกำแพงขวางกั้นอันมหึมาเสียด้วยซ้ำ เพราะเขาอาจจะคิดกับเธอว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทตลอดไป และอาจจะไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอื่น
เรือลำน้อยค่อยๆล่องลอยไปตามสายน้ำ อย่างเอื่อยๆ ภูผาพายเรือช้าๆเหมาะกับบรรยากาศที่วนิดาต้องการให้เวลาแห่งความสุขเลื่อน ไหลไปให้ช้าที่สุด ส่วนเพือนของเธออีกสองคนนั้นพายเรือตามมาอยู่ห่างๆ ที่จริงแล้วเพื่อนสองคนนั้นพายเรือไม่ค่อยคล่องนัก เรือของพวกเธอโครงเครงไปมา แต่วนิดาก็มิได้กังวลถึงความปลอดภัยของเพื่อนเกินกว่าปกติ เพราะน้ำที่นี่ไม่ลึกและไหลไม่แรง คลองแห่งนี้ไม่ค่อยจะมีผู้คนจอแจเหมือนที่อื่นๆ เสียงส่วนใหญ่จึงเป็นเสียงนกหรือแมลงตามต้นไม้ใหญ่หรือพุ่มไม้ข้างๆนั่นเอง มันดูเงียบวังเวง เหมาะแก่การพักสมองของคนที่เบื่อสีสรรของเมืองกรุง เธออยู่กับคลองนี้มาตั้งแต่เด็ก จุดที่เธอชอบสุดคือโค้งสุดท้ายของลำน้ำ ก่อนที่จะวนกลับไปยังริมตลิ่งหน้าบ้านเธอ ซึ่งถือเป็นอันจุดสิ้นสุดของการพักผ่อนตามลำน้ำ ในโค้งสุดท้ายนี้ต้นไทรทั้งสองฝั่งได้ปกคลุมจนมืดคลึ้มกลายเป็นซุ้มธรรมชาติ ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของคลองนี้
กาลเวลาในลำเรือมันช่างผ่านไปอย่าง ช้าๆ ช้าเสียจนหัวใจที่ร้อนรนของหญิงสาวไม่สามารถจะทานทนต่อไปได้อีกแล้ว นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่เธอปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยมานานมา หลายปีโดยที่ไม่มีโอกาสที่จะบอกความในใจกับเขา แม้ว่าบางที…มันอาจจะทำให้เธอหายอึดอัดกลัดกลุ้ม หรืออาจจะทำให้อะไรๆมันดีขึ้นกว่านี้ก็ได้ เพียงแค่บอกให้เขารู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร…แค่สักครั้ง
ในตอนนี้ เรือลำน้อยกำลังจะเข้าสู่โค้งสุดท้ายของลำน้ำ โค้งอันศักดิ์สิทธิ์ นี้เป็นอีกมุมหนึ่งที่คนชอบมาขอหวย อาจเป็นเพราะว่ามีเจ้าแม่ประจำต้นไทรหรือมีอะไรบางอย่างที่ให้ความหวังกับ ผู้คนในละแวกนี้ วนิดาเองก็ไม่แตกต่างจากคนเหล่านั้น เธอเชื่อในความหวังบางอย่างอยู่เหมือนกัน อะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ใครจะไปรู้…หากเธอเอ่ยคำนั้นออกไป ภายใต้ซุ้มธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์นี้
“ตรงโค้งนี้พายเรือช้าๆนะภู ซุ้มต้นไทรนี่ศักดิ์สิทธิ์นะ เค้าว่ากันว่าใครหวังอะไรไว้ ก็ลองบอกกล่าวเจ้าแม่ไว้นะจ๊ะ อาจจะสมหวังก็ได้นะ” เธอพูดอย่างจริงจัง ส่วนเขาพยักหน้ารับ ชะลอฝีพายให้ช้าลง เวลาในเรือที่ยิ่งช้าลงมันยิ่งทำให้เธอเข้าถึงความกล้าบางอย่าง ถ้าหากเรือที่มีเขาและเธออยู่ด้วยกันผ่านพ้นซุ้มนี้ไปโดยที่เธอมิได้บอกความ จริงกับเขาไป มันก็อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะบอกเขา เพราะในความรู้สึกลึกๆแล้ว วันนี้และที่นี่เป็นสิ่งที่ลงตัวสุดๆ เหมาะสมทั้งบรรยากาศ ความใกล้ชิด และระดับของความรู้สึก และมันก็คงเป็นโอกาสสุดท้ายจริงๆที่เธอจะทนอยู่ต่อไปกับความลับในใจที่คอย กัดกร่อนชีวิตของเธอ
เรือลำน้อยก็ค่อยๆเคลื่อนผ่านซุ้มไปอย่างช้าๆ กว่าที่มันจะผ่านไปทั้งหมดคงกินเวลาสักครึ่งนาที หญิงสาวรวบรวมความกล้าทั้งหมด ค่อยๆขยับเขยื้อนกายเข้าไปหาเขา หัวใจเธอเริ่มเต้นระทึก ใบหน้าเธอร้อนเริ่มผ่าว เธออยู่ใกล้กับเขาจนแทบจะหยุดลมหายใจเอาไว้ เสียงนก เสียงน้ำ เสียงฝีพาย และเสียงเต้นของหัวใจพลันเงียบลง แล้วเธอก็เอื้อนเอ่ยออกไปว่า “ภู…ดามีอะไรจะบอก”
“มีอะไรเหรอดา” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยอาการสงสัย
“ภู ฟังนะ มันเป็นความรู้สึกของดาจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง อยากบอกให้เธอรู้ว่า…” วนิดาพูดยังไม่ทันจะจบประโยค และแล้วก็มีเสียงดังตูม..เหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นลงน้ำ พอมองออกไปทางด้านหลัง เรือของเพื่อนเธออีกลำ ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณสักสิบกว่าเมตรคว่ำลง เพื่อนเธอทั้งสองคนกำลังตะเกียกตะกายอยู๋ในน้ำยกมือยกไม้ร้องขอความ ช่วยเหลือ ที่สำคัญทั้งสองคนนั้นก็ว่ายน้ำไม่ค่อยเป็น วนิดาผู้เล่นน้ำคลองมาตั้งแต่เกิดตัดสินใจพุ่งตัวลงไปช่วยเพื่อนที่กำลัง ตะเกียกตะกายไขว่คว้าหาหลักยึดอยู่ ทีละคนๆจนขึ้นฝั่งได้ ในขณะที่ภูผาซึ่งว่ายน้ำไม่แข็งคอยเอาใจช่วยอยู่บนเรือ
เพื่อนทุกคน ปลอดภัยดี แต่ดูเหมือนความฝันของวนิดาจะจบลง เหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ เหมือนใบไม้ที่หลุดออกจากกิ่งแล้วไม่มีวันหวนกลับคืนสู่ยอดไม้ คำบางคำหากไม่ได้เอ่ยกล่าวไปในคราวที่เหมาะสม ก็คงจะเหมือนยาที่หมดอายุ นำมาใช้เพื่อรักษาโรคอะไรคงไม่เป็นประโยชน์ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ภูผาก็มิได้ทวงถามว่าวนิดาต้องการจะบอกอะไรกับเขา บางทีเขาอาจจะลืมไปแล้ว หรือมิได้คิดว่าประโยคนั้นมันสำคัญอะไรหนักหนากับชีวิตของเธอ เขาหายไปจากชีวิตของเธอ บางทีเขาอาจจะไปพายเรือให้หญิงอื่นนั่งก็เป็นได้ ส่วนเธอก็ไม่มีโอกาสที่จะบอกความในใจกับเขาอีกเลย และก็ไม่มีใครคนอื่นๆอีกที่เหมาะสมสำหรับคำๆนั้น เธอเคยคิดว่า หากเธอพูดคำสุดท้ายไปให้ครบมันจะเสียเวลาไปสักกี่วินาที หรือถ้าเธอคิดให้ดีๆก่อน ก็คงไม่เริ่มต้นด้วยประโยคยาวๆแบบนั้น ซึ่งมันก็จะประหยัดเวลาให้เธอไปได้สักหน่อย แถมยังมีเวลาเหลือพอที่จะกระโดดไปช่วยเหลือเพื่อนได้ทัน
“แต่ถึงพูด คำนั้นไปก็ใช่ว่าชีวิตฉันจะเปลี่ยนไปใช่ไหม มันอาจจะไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลยก็ได้ เธอเข้าใจใช่ไหมจ๊ะโกโก้ ยังไงชีวิตของเพื่อนฉันก็สำคัญกว่าเสมอ ถ้าฉันจะเสียเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพียงแค่จะเอ่ยคำนั้นออกมา แต่มันทำให้เพื่อนฉันตายกลายเป็นผีเฝ้าคลอง ฉันก็คงทนอยู่ต่อไปไม่ได้ในโลกใบนี้ และวันนี้เธอก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นยิ้มหวานๆซึ้งๆตามแบบฉบับของวนิดาแบบนี้นะจ๊ะ” วนิดาหันมายิ้มเจื่อนๆกับเจ้าหมาน้อย
โกโก้จ้องมองอากัปกิริยาของเธอ แล้วเห่าสนับสนุนไปอีกสองสามโฮ่ง
“เธอนี่เป็นสุดยอดน้องหมาเลยนะจ๊ะ เข้าใจฉันไปซะทุกเรื่อง”
โกโก้มองกลับด้วยสายตาวิงวอน ซึ่งถ้าพูดได้มันคงจะบอกเธอไปแล้วว่า
“วนิดาจ๋า เธอหยุดยิ้มหวานๆทำตาซึ้งได้แล้ว จริงๆแล้วฉันไม่ได้เข้าใจอะไรในตัวเธอมากมายนักหรอก แค่อยากบอกให้เธอรู้ว่า…ฉันหิว ได้โปรดไปเติมอาหารหมาในชามให้ทีเถอะ มันหมดตั้งนานแล้วนะจ๊ะ“